บทนี้รู้จะกล่าวถึงรายละเอียดของกราฟฟิกรูปแบบหลัก 2 ประเภทคือ GIF และ JPG
- GIF ย่อมาจาก Graphics Interchange Format เป็นรูปแบบแฟ้มภาพและแฟ้มภาพเคลื่อนไหว รูปแบบ GIF ถูกออกแบบโดย Compuserve ซึ่งเป็นระบบเครือข่ายข่าวสารแบบออนไลน์ เพื่อให้บริการเเลกเปลี่ยนกราฟิกในรูปแบบบิตแมป ภาพแบบGIF มีข้อจำกัดอยู่ตรงด้านแผงสีแบบ Index ภาพสีแบบ 24bit (RGB) ไม่สามารถใช้ได้ แผงสีสามารถบรรจุได้ 2-256 สี ซึ่งสร้างจากข้อมูลสี 24 บิท แฟ้มแบบ GIF โดยใช้การบีบขนาด LZW แบบประยุกต์ ทำให้เปลืองพื้นที่ความจุน้อยกว่า สำหรับการออกเสียงคำว่า GIF มีการโต้เถียงกันหลายที่ ขึ้นอยู่กับภาษาที่ใช้ โดยทางผู้ผลิตได้สรุปวิธีอ่านของตัวเองไว้ ผู้ผลิตซอฟต์แวร์หลายรายกังวลเกี่ยวกับปัญหาสิทธิบัตรของแฟ้มแบบ GIF ซึ่งจดโดย Unisys ทำให้มีการสร้างรูปแบบแฟ้มภาพชนิดใหม่ที่ชื่อว่า PNG (Portable Network Graphics) ขึ้นมาทดแทน อย่างไรก็ตามสิทธิบัตรของ GIF หมดอายุแล้วเมื่อ ค.ศ. 2003 และ GIF ยังเป็นที่นิยมใช้งานต่อไปจนถึงปัจจุบัน
- JPEG (Joint Photographic Experts Group - "เจเพ็ก") คือรูปแบบการบีบอัดแฟ้มภาพแบบสูญเสีย โดยยังให้เสียความละเอียดน้อยที่สุด รูปแบบแฟ้มสำหรับวิธีการนี้ได้แก่ .jpeg, .jpg, .jpe, .jfif, .jfi (อาจจะเป็นตัวเล็กหรือตัวใหญ่ก็ได้) รูปแบบแฟ้ม JPEG นี้ เป็นรูปแบบแฟ้มที่ใช้กันในการจัดเก็บและแลกเปลี่ยนรูปภาพบนเวิลด์ไวด์เว็บมากที่สุด โดยเฉพาะภาพถ่าย เนื่องจากสามารถเก็บความละเอียดสูงได้โดยใช้ขนาดไฟล์ที่เล็ก สามารถเก็บภาพสีได้หลากหลายระดับความแม่นยำของสี(Bit Depth) ความสามารถในการย่อขนาดไฟล์ของแฟ้ม JPEG นั้นเกิดจากการใช้เทคนิคการย่อขนาดภาพแบบการบีบอัดคงข้อมูลหลัก (Lossy Compression) หรือการบีบอัดแบบมีความสูญเสียทำให้ไม่นิยมใช้กับภาพที่เป็น ลายเส้น หรือไอคอนต่าง ๆ เนื่องจากจะไม่ได้ประสิทธิภาพเท่าการเก็บในรูปแบบอื่น อย่าง PNG หรือ GIF
การบีบอัดของ JPEG นั้นจะใช้เทคนิคที่เรียกว่า DCT (Discrete Cosine Transform) ซึ่งเป็นการแปลงค่าความสว่างของภาพให้อยู่ในรูปแบบเชิงความถี่ (Frequency Domain) ทำให้สามารถเลือกแทนค่าของสัมประสิทธิ์หรือในที่นี้คือแอมพลิจูดของค่าความถี่ต่างๆ ได้โดยอาศัยตัวแปรที่มีนัยสำคัญที่ต่างกันได้ การที่สามารถลดนัยสำคัญของค่าตัวเลขลงไปได้ทำให้สามารถลดขนาดของหน่วยความจำหรือขนาดไฟล์ที่ใช้เก็บตามไปได้
การบีบอัดของ JPEG นั้นจะใช้เทคนิคที่เรียกว่า DCT (Discrete Cosine Transform) ซึ่งเป็นการแปลงค่าความสว่างของภาพให้อยู่ในรูปแบบเชิงความถี่ (Frequency Domain) ทำให้สามารถเลือกแทนค่าของสัมประสิทธิ์หรือในที่นี้คือแอมพลิจูดของค่าความถี่ต่างๆ ได้โดยอาศัยตัวแปรที่มีนัยสำคัญที่ต่างกันได้ การที่สามารถลดนัยสำคัญของค่าตัวเลขลงไปได้ทำให้สามารถลดขนาดของหน่วยความจำหรือขนาดไฟล์ที่ใช้เก็บตามไปได้
- PNG ย่อมาจาก Portable Network Graphics ซึ่งเป็นรูปแบบของไฟล์รูปภาพที่ถูกพัฒนามาเพื่อใช้สำหรับการแสดงผลบนเว็บไซต์โดยเฉพาะ และเพื่อใช้แทนรูปแบบของไฟล์ GIF ด้วยเหตุผลทางด้านลิขสิทธิ์ เพราะ PNG นั้นเป็นรูปแบบของไฟล์รูปภาพที่มีลิขสิทธิ์แบบ Open Source สามารถนำไปใช้ และพัฒนาต่อได้อย่างอิสระ
โดยที่คุณสมบัติทั่วๆไปของ PNG นั้นจะคล้ายกับ GIF คือ มีการบีบอัดไฟล์ได้โดยไม่สูญเสียคุณภาพ นอกจากนี้ PNG ยังมีข้อดีอีกหลายประการที่ไม่มีใน GIF คือ
- รูปแบบไฟล์แบบPNG นั้นสามารถที่จะบีบอัดไฟล์ให้มีขนาดเล็กกว่า GIF ประมาณ 10-30%
- สามารถทำพื้นหลังโปร่งใส (Transparency) ได้เหมือนกับ GIF แต่สามารถปรับค่าความโปร่งใสได้ เพราะ PNG นั้นรองรับ Alpha Transparency แต่ GIF นั้นจะรองรับเพียง Binary Transparency กล่าวคือ GIF สามารถทำให้ภาพมีพื้นหลัง 100% และไม่มีพื้นหลังเลย (พื้นหลัง 0%) แต่จะไม่สามารถทำให้พื้นหลังมีค่าที่ต่างไปจากนี้ได้ เช่นให้พื้นหลังมีค่า 50% จะไม่สามารถทำได้ เราจึงเรียกคุณสมบัตินี้ว่า Binary Transparency
อีกอย่างหนึ่งคือ การใช้ Transparency กับไฟล์ GIF นั้น จะต้องกำหนดค่า matte เพื่อให้ขอบภาพกลืนไปกับสีของพื้นหลังที่จะนำภาพไปประกอบ ถ้าเราทำการเปลี่ยนสีพื้นหลังดังกล่าว เราก็จำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนค่า matte ตามไปด้วย ไม่เช่นนั้นภาพก็จะออกมาในลักษณะที่ขอบของภาพแตกได้ ซึ่งถ้าเป็นไฟล์ PNG จะไม่มีปัญหาเหล่านี้ และ PNG ยังสามารถปรับค่าความโปร่งใสได้หลายระดับอีกด้วย
- รูปแบบไฟล์แบบPNG นั้นสามารถที่จะบีบอัดไฟล์ให้มีขนาดเล็กกว่า GIF ประมาณ 10-30%
- สามารถทำพื้นหลังโปร่งใส (Transparency) ได้เหมือนกับ GIF แต่สามารถปรับค่าความโปร่งใสได้ เพราะ PNG นั้นรองรับ Alpha Transparency แต่ GIF นั้นจะรองรับเพียง Binary Transparency กล่าวคือ GIF สามารถทำให้ภาพมีพื้นหลัง 100% และไม่มีพื้นหลังเลย (พื้นหลัง 0%) แต่จะไม่สามารถทำให้พื้นหลังมีค่าที่ต่างไปจากนี้ได้ เช่นให้พื้นหลังมีค่า 50% จะไม่สามารถทำได้ เราจึงเรียกคุณสมบัตินี้ว่า Binary Transparency
อีกอย่างหนึ่งคือ การใช้ Transparency กับไฟล์ GIF นั้น จะต้องกำหนดค่า matte เพื่อให้ขอบภาพกลืนไปกับสีของพื้นหลังที่จะนำภาพไปประกอบ ถ้าเราทำการเปลี่ยนสีพื้นหลังดังกล่าว เราก็จำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนค่า matte ตามไปด้วย ไม่เช่นนั้นภาพก็จะออกมาในลักษณะที่ขอบของภาพแตกได้ ซึ่งถ้าเป็นไฟล์ PNG จะไม่มีปัญหาเหล่านี้ และ PNG ยังสามารถปรับค่าความโปร่งใสได้หลายระดับอีกด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น